phuwadet

phuwadet

สมาชิก

phuwadet3032@gmail.com

  ส่องอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยช่วงที่เหลือปี64 และแนวโน้มปี65 (138 อ่าน)

4 ก.ย. 2564 08:56

ต้องการขายที่ดินเปล่าด่วนมาก EIC เผยมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐปี 64 ขยายตัว 6%YoY รับปัจจัยหนุนจากเมกะโปรเจกต์ แต่การะบาดของโควิด-19 ในแคมป์คนงานยังสร้างแรงกดดันต่อภาคธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ อาจทำให้ก่อสร้างล่าช้าออกไป คาดว่ามูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มหดตัว -5% เชื่อปี65 งานภาครัฐยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของภาคก่อสร้าง มูลค่าประมาณ 858,000 ล้านบาท ขณะที่ภาคเอกชนยังมีทิศทางชะลอตัว มูลค่าการก่อสร้างทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 514,000 ล้านบาท ระบุผู้ประกอบการมีแนวโน้มปรับกลยุทธ์รับงานก่อสร้างภาครัฐมากขึ้น เชื่อยังเผชิญความท้าทายจากต้นทุนเหล็ก-แรงงานที่พุ่งสูงขึ้น อาจลากยาวไปถึงปีหน้า การนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้อย่างแพร่หลายช่วยเพิ่ม productivity ระยะยาว

นางสาวกัญญารัตน์ กาญจนวิสุทธิ์ นักวิเคราะห์อาวุโส, Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยถึง มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐปี 2564 ว่า มีการขยายตัว 6%YoY โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความคืบหน้าของโครงการเมกะโปรเจกต์ อย่างไรก็ดีการระบาดของ โควิด-19 ในแคมป์คนงานก่อสร้าง รวมถึงการดำเนินกิจกรรมก่อสร้างภายใต้มาตรการ Bubble and seal สร้างแรงกดดันต่อภาคก่อสร้างในช่วงที่เหลือของปี ทั้งนี้ในปี 2564 การก่อสร้างภาครัฐได้รับปัจจัยหนุนจากการเริ่มก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 โครงการเมืองการบินภาคตะวันออก เฟส 1 โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ รันเวย์ที่ 3 นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างมาจากในอดีต และมีความคืบหน้า เช่น ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี สายบางปะอิน-นครราชสีมา ส่งผลให้มีเม็ดเงินทยอยเข้าสู่การก่อสร้างภาครัฐอย่างต่อเนื่อง

ต้องการขายที่ดินเปล่าด่วนมาก สำหรับงบประมาณในปีงบประมาณ 2564 ของ 4 หน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้าง ได้แก่ กรมทางหลวง กรมชลประทาน กรมทางหลวงชนบท และกรมโยธาธิการและผังเมือง ขยายตัวจากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรมทางหลวงได้รับงบประมาณกว่า 126,000 ล้านบาท (+11%YoY) ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ก่อสร้าง ปรับปรุงทางหลวง และสะพาน รวมถึงกรมชลประทานได้รับงบประมาณกว่า 74,000 ล้านบาท (+9%YoY) ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ก่อสร้างขยายพื้นที่ชลประทาน





อีกทั้ง อัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนปีงบประมาณ 2564 ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 อยู่ที่ 48% ของงบลงทุน สูงกว่าในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 34% ของงบลงทุน ทำให้มูลค่าการเบิกจ่ายงบลงทุน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2021 อยู่ที่ 258,583 ล้านบาท (+47%YTD) หนุนให้เม็ดเงินกระจายเข้าสู่การก่อสร้างภาครัฐในช่วงครึ่งแรกของปี 2564สูงเช่นกัน

จากความคืบหน้าของโครงการเมกะโปรเจกต์ ทั้งโครงการที่เพิ่งเริ่มก่อสร้างในปี 2564 และโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างมาจากในอดีต อีกทั้ง งบประมาณของหน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้างในปีงบประมาณ 2564 ที่ขยายตัวจากปีก่อนหน้า ประกอบกับมูลค่าการเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ที่อยู่ในระดับสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา หนุนให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐอยู่ที่ 438,295 ล้านบาท (+17%YTD)



EIC มองว่า แม้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐจะขยายตัวในอัตราสูง แต่ภาคก่อสร้างเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของ โควิด-19 โดยคำสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา ส่งผลให้โครงการก่อสร้างภาครัฐในกรุงเทพฯ และปริมณฑลหยุดชะงัก สอดคล้องตามมูลค่าการเบิกจ่ายงบลงทุนในเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ลดลงมาอยู่ที่ 33,966 ล้านบาท (-15%YoY) อีกทั้ง ความเสี่ยงการระบาดของโควิด-19 ในแคมป์คนงานก่อสร้างในช่วงที่เหลือของปี อาจส่งผลให้ต้องมีการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างบางแห่งอีกด้วย รวมถึงข้อกำหนดการดำเนินกิจกรรมก่อสร้างภายใต้มาตรการ Bubble and seal ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไปสร้างแรงกดดัน โดยอาจทำให้การก่อสร้างโครงการต่าง ๆ ในระยะข้างหน้าล่าช้าออกไป จากข้อจำกัดด้านสุขอนามัย และการเว้นระยะห่าง ที่อาจส่งผลกระทบให้ประสิทธิภาพการก่อสร้างลดลง



นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐยังขยายตัวในอัตราสูงถึง 11%YoY จากการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ฐานในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ EIC คาดว่ามูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะมีแนวโน้มหดตัว -5% และส่งผลให้มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐโดยรวมในปี 2564 จะอยู่ที่ราว 806,000 ล้านบาท (+6%YoY) โดยเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปี 2563 ที่ขยายตัว 5%YoY

สำหรับแนวโน้มปี 2565 การก่อสร้างภาครัฐยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของภาคก่อสร้าง จากความคืบหน้าของโครงการเมกะโปรเจกต์ รวมถึงการเริ่มก่อสร้างโครงการใหม่ ๆ EIC คาดว่ามูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในปี 2565 มีแนวโน้มอยู่ที่ราว 858,000 ล้านบาท (+6%YoY) โดยเป็นผลมาจากความคืบหน้าของโครงการเมกะโปรเจกต์ที่สำคัญที่ดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องมาจากในอดีต เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 โครงการเมืองการบินภาคตะวันออก เฟส 1 โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ รันเวย์ที่ 3



นอกจากนี้ การเริ่มประมูลและเริ่มก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ใหม่ ๆ ทั้งโครงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง โครงการขยายสนามบิน และโครงการทางถนน จะทำให้มีเม็ดเงินทยอยเข้าสู่ภาคก่อสร้างภาครัฐในปี 2565 อย่างต่อเนื่องเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาการประมูลและลงนามสัญญาโครงการใหม่ ๆ ที่อาจมีความล่าช้า และส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในปี 2565 ได้ ขณะที่งบประมาณของหน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้างในปีงบประมาณ 2565 ที่หดตัว อาจช่วยหนุนมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐได้ไม่มากนัก ทั้งนี้งบประมาณของหน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้าง ได้แก่ กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ในปีงบประมาณ 2565 หดตัว -8%YoY และ -5%YoY ตามลำดับ สอดคล้องตามภาพรวมของการจัดสรรงบประมาณปี 2565 ที่ถูกปรับลดลงจากปีก่อนหน้า ท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 ดังนั้น งบประมาณในส่วนนี้จึงอาจช่วยหนุนมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในปี 2565 ได้ไม่มากนัก แตกต่างจากสถานการณ์ในปี 2564 ที่งบประมาณในปีงบประมาณ 2564 ของหน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้างขยายตัวจากปีก่อนหน้า จึงกล่าวได้ว่าปัจจัยหนุนมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในปี 2565 จะมาจากความคืบหน้าของโครงการเมกะโปรเจกต์ รวมถึงการเริ่มก่อสร้างโครงการใหม่ ๆ เป็นหลัก



ด้านการก่อสร้างภาคเอกชนยังมีทิศทางชะลอตัวตามการหดตัวอย่างต่อเนื่องของภาคอสังหาริมทรัพย์ โดย EIC คาดว่า มูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนในปี 2564 อยู่ที่ราว 514,000 ล้านบาท (-7%YoY) โดยเป็นการปรับลดลงทั้งในส่วนของการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย และเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้การระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้หน่วยที่อยู่อาศัยขายได้ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลปรับลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 มีหน่วยที่อยู่อาศัยขายได้อยู่ที่ 65,279 หน่วย (-35%YoY) นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี และมาในปี 2564 นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ที่การระบาดรุนแรงขึ้น สร้างแรงกดดันให้หน่วยที่อยู่อาศัยขายได้ในปี 2564 ไม่สามารถฟื้นตัวได้ โดย EIC คาดว่า หน่วยที่อยู่อาศัยขายได้ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2564 อยู่ที่ 57,300 หน่วย (-12%YoY)

phuwadet

phuwadet

สมาชิก

phuwadet3032@gmail.com

ตอบกระทู้
CAPTCHA Image
Powered by MakeWebEasy.com